จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เราจะสร้างความรับผิดชอบทางศึกษาได้อย่างไร



 โดย..สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ และศุภณัฏฐ์ ศศิวุฒิวัฒน์
       
       สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
       
       ในบทความ
แก้ปัญหาคุณภาพการศึกษาไทย: เราจะเริ่มที่ไหนดี?” ดร.อัมมาร สยามวาลา ได้เสนอให้การปฏิรูปคุณภาพการศึกษาของไทยเริ่มต้นจากการสร้าง ความรับผิดชอบ” (accountability) ในการจัดการศึกษา บทความนี้จะอธิบายถึงแนวคิดเรื่องความรับผิดชอบในการจัดการศึกษา และยกตัวอย่างการใช้แนวคิดดังกล่าวในต่างประเทศ
      
       “
ความรับผิดชอบหมายถึง พันธผูกพันในหน้าที่ของคน หรือองค์กรต่อเป้าหมายที่ได้รับมอบหมาย โดยมีระบบที่ผู้มอบหมายสามารถตรวจสอบและประเมินผลงาน เพื่อให้รางวัลหรือลงโทษผู้ที่ได้รับมอบหมายงานได้
      
       ในกรณีของการศึกษา โรงเรียนมีพันธผูกพันตามหน้าที่ในการให้ความรู้แก่นักเรียนตามที่ผู้ปกครองมอบหมาย โรงเรียนจึงควรมีความรับผิดชอบต่อผู้ปกครอง อย่างไรก็ตาม ในหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทย รัฐมักมีบทบาทสำคัญในการจัดการศึกษาในรูปแบบต่างๆ เช่น จัดการศึกษาเองผ่านโรงเรียนรัฐบาล หรืออุดหนุนงบประมาณแก่โรงเรียนรัฐและเอกชน รัฐจึงเข้ามามีบทบาทรับผิดชอบต่อผู้ปกครองแทนโรงเรียน โดยในประเทศประชาธิปไตย การเลือกตั้งจะเป็นกลไกที่ผู้ปกครองในฐานะพลเมืองใช้ควบคุมนักการเมืองซึ่งคุมอำนาจรัฐ ในเวลาเดียวกัน โรงเรียนรัฐบาลหรือโรงเรียนเอกชนที่ได้รับการอุดหนุนจากรัฐ ก็ต้องรับผิดชอบต่อรัฐบาล และต้องกำกับดูแลครูของตนให้สอนนักเรียนอย่างมีคุณภาพ ทั้งหมดนี้ทำให้เกิด สายความรับผิดชอบ” (accountability chain) จากผู้ปกครองไปยังรัฐบาล ต่อเนื่องไปจนถึงโรงเรียนและครู 

       ปัญหาก็คือ สายความรับผิดชอบ ผู้ปกครอง-รัฐบาล-โรงเรียน-ครูดังกล่าว มีความยาวมาก และเสี่ยงที่จะขาดที่ช่วงใดช่วงหนึ่งได้ง่าย อันที่จริงเมื่อพิจารณาให้ดี จะพบว่า เป็นการยากที่ประชาชนจะสามารถกำกับนักการเมืองได้อย่างใกล้ชิด นักการเมืองเองก็ไม่สามารถกำกับให้กระทรวงศึกษาธิการทำตามนโยบายของตนที่หาเสียงกับประชาชนได้ทุกเรื่อง ส่วนกระทรวงศึกษาธิการเองก็อาจไม่สามารถกำกับโรงเรียนให้มีคุณภาพ เช่นเดียวกับโรงเรียนก็มักไม่สามารถกำกับการสอนของครูแต่ละคนได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน สายความรับผิดชอบที่มีโอกาสขาดในหลายช่วงนี้เองที่ก่อให้เกิดปัญหาคุณภาพการศึกษาของประเทศ ดังจะเห็นได้ว่า เมื่อคะแนนสอบของเด็กไทยแย่ลงเรื่อยๆ อย่างที่ปรากฏเป็นข่าว ก็ไม่เห็นมีใครต้องทำอะไร เพราะระบบการศึกษาไทย เป็นระบบที่ไม่มีใครต้องรับผิดชอบต่อใครแต่อย่างใด
       

       
แนวทางหนึ่งในการยกระดับคุณภาพการศึกษา ก็คือ การกระจายอำนาจในการจัดการศึกษาไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น เทศบาล อบจ.หรืออบต.เพื่อให้ประชาชนสามารถควบคุมนักการเมืองให้มีความรับผิดชอบได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่นักการเมืองไม่สามารถกำกับดูแลโรงเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และโรงเรียนมีปัญหาในการกำกับดูแลครู ก็ยังคงมีอยู่เช่นเดิม 
      
       
อีกทางหนึ่งในการยกระดับคุณภาพการศึกษาก็คือ การทำให้โรงเรียนและครูต้องรับผิดชอบต่อผู้ปกครองโดยตรง ซึ่งน่าจะมีประสิทธิผลมากกว่าเพราะวิธีนี้มีสายความรับผิดชอบเพียง ผู้ปกครอง-โรงเรียน-ครูซึ่งสั้นกว่าเดิม ทำให้มีโอกาสสายขาดน้อยกว่า ครูและโรงเรียนจึงต้องรับผิดชอบต่อผู้ปกครองมากขึ้น
      
       ในทางปฏิบัติ การทำให้โรงเรียนและครูต้องรับผิดชอบต่อผู้ปกครองโดยตรงมากขึ้นสามารถทำได้โดยใช้ 3 แนวทางต่อไปนี้ควบคู่กัน
      
       
1.การปฏิรูปด้านข้อมูล โดยการเผยแพร่ข้อมูลคุณภาพของโรงเรียนให้ผู้ปกครองและสังคมรับรู้ เพื่อให้ผู้ปกครองและสังคมเข้าตรวจสอบโรงเรียนได้ง่ายขึ้น หรือใช้ในการเลือกโรงเรียนที่จะส่งลูกไปเรียน
      
       ตัวอย่างการดำเนินการในแนวทางนี้ได้แก่ รัฐปารานาของบราซิล แจกใบรายงานผล (Report Card) ของโรงเรียนให้แก่ผู้ปกครอง ใบรายงานผลนี้จะแสดงผลคะแนนเฉลี่ยในการสอบมาตรฐานของนักเรียนในโรงเรียน อัตราการสอบผ่าน อัตราการซ้ำชั้นและอัตราการออกกลางคันของโรงเรียนแต่ละแห่งเทียบกับโรงเรียนในเขตพื้นที่และในรัฐเดียวกัน ซึ่งมีผลทำให้ผู้ปกครองและชุมชนตื่นตัว ถกเถียงเรื่องการพัฒนาคุณภาพการสอนของโรงเรียน
      
       
2.การปฏิรูปการบริหารจัดการโรงเรียน โดยให้โรงเรียนมีอิสระในการบริหารการศึกษาจากรัฐมากขึ้น พร้อมกับเพิ่มบทบาทของผู้ปกครองในการเข้าเป็นกรรมการโรงเรียน เพื่อให้สามารถกำกับและตรวจสอบโรงเรียนได้อย่างใกล้ชิดมากขึ้น หรือการที่รัฐกำหนดเป้าหมายด้านคุณภาพที่โรงเรียนจะต้องบรรลุอย่างชัดเจน และวางมาตรการแก้ไขที่เหมาะสม หากโรงเรียนไม่สามารถบรรลุเป้าหมายนั้นได้
      
       ตัวอย่างเช่น ในปี 2001 สหรัฐฯได้ออกกฎหมาย No Child Left Behind Act (NCLB) ซึ่งกำหนดให้โรงเรียนต่างๆ ต้องส่งนักเรียนเข้าสอบมาตรฐานของมลรัฐ โดยหากคะแนนเฉลี่ยของโรงเรียนต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ จะมีการดำเนินมาตรการตามขั้นตอนดังนี้
      
       ­ -ไม่บรรลุเป้าหมาย 2 ปีติดต่อกัน: โรงเรียนต้องทำแผนปรับปรุงคุณภาพ และยอมให้นักเรียนย้ายโรงเรียน
       ­ -ไม่บรรลุเป้าหมาย 3 ปีติดต่อกัน: โรงเรียนต้องจัดสอนพิเศษฟรีให้แก่นักเรียน
       ­ -ไม่บรรลุเป้าหมาย 4 ปีติดต่อกัน: โรงเรียนต้องปรับเปลี่ยนบุคลากร หลักสูตร วิธีการสอน และเพิ่มเวลาสอน
       ­ -ไม่บรรลุเป้าหมาย 5 ปีติดต่อกัน: โรงเรียนต้องทำแผนปรับโครงสร้างการบริหาร เช่น จ้างให้มืออาชีพเข้ามาบริหารแทน (หรือกลายเป็น charter school นั่นเอง)
       -ไม่บรรลุเป้าหมาย 6 ปีติดต่อกัน: โรงเรียนต้องดำเนินการตามแผนปรับโครงสร้างหรือถูกปิด
      
       
3.การปฏิรูปแรงจูงใจครู โดยเชื่อมโยงผลการเรียนของนักเรียนเข้ากับการประเมินผลงานของครู แทนการใช้กฎเกณฑ์ในการประเมินผลแบบเดิมตามระเบียบราชการ ซึ่งทำให้ครูกลับมาให้ความสนใจนักเรียนมากขึ้น

      
       ตัวอย่างเช่น รัฐอันตระประเทศของอินเดีย มีนโยบายให้โบนัสครูตามผลงานซึ่งประเมินด้วยคะแนนสอบที่เพิ่มขึ้นของนักเรียนทั้งชั้น โดยโบนัสจะขึ้นกับคะแนนที่เพิ่มขึ้น หลังจากการใช้นโยบายดังกล่าว พบว่า ครูจำนวนมากได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการสอน โดยให้นักเรียนทำแบบฝึกหัดและแบบทดสอบเพิ่มขึ้นทั้งในชั้นเรียนและการบ้าน จัดสอนพิเศษ และดูแลเอาใจใส่นักเรียนอ่อนมากขึ้น
      
       จะเห็นว่า หัวใจของการปฏิรูปคุณภาพการศึกษาทั้ง 3 ด้านคือ การมีการสอบมาตรฐานที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยให้ทราบผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของโรงเรียน และเชื่อมโยงผลดังกล่าวเข้ากับการประเมินโรงเรียนและครู ทั้งนี้ รางวัลที่ผู้บริหารโรงเรียนและครูจะได้รับอาจไม่จำเป็นต้องเป็นตัวเงินเสมอไป แต่อาจอยู่ในรูปอื่น เช่น การประกาศยกย่อง ก็ได้

กอศ.เดินหน้าจัดตั้งสถาบันอาชีวะเกษตรฯ 4 ภูมิภาค ดึง วท.เกษตรและเทคโนโลยี 5 แห่งรวมด้วย


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์8 กุมภาพันธ์ 2555 18:34 น.

       บอร์ด กอศ.เดินหน้าจัดตั้งสถาบันอาชีวะเกษตรฯ 4 ภูมิภาค พร้อมดึง วท.เกษตรและเทคโนโลยี 5 แห่ง ที่ไปรวมกับ 19 สถาบันสมัย “วรวัจน์” ออกมารวมด้วย
      
       ศ.ดร.ธีรวุฒิ บุณยโสภณ ประธานคณะกรรมการสำนักงานการอาชีวศึกษา (บอร์ด กอศ.) เปิดเผยถึงการจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตร ว่า เรื่องนี้ได้ข้อสรุปนานแล้วว่าจะมีการจัดตั้งสถาบันอาชีวศึกษาเกษตร 4 ภูมิภาคแน่นอน โดยหลังจากที่คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจร่างกฎกระทรวงการรวมสถานศึกษาอาชีวศึกษาเพื่อจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษาแบบกลุ่มจังหวัด 19 สถาบันเรียบร้อยแล้ว ก็จะดำเนินการต่อตามขั้นตอนการจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรทันที โดยเริ่มจากการประเมินความพร้อมของสถานศึกษาที่จะรวมกันเพื่อจัดตั้งเป็นสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรในแต่ละภูมิภาคตามหลักเกณฑ์การประเมินความพร้อมที่กำหนดโดยบอร์ด กอศ.ตามมาตรา 11(2) พ.ร.บ.การอาชีวศึกษา พ.ศ.2551
      
       “การแยกจัดสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรออกมาต่างหากภูมิภาคละ 1 สถาบัน เป็นสิ่งที่ดีเพราะเป็นการนำทรัพยากรด้านการเกษตรมารวมกัน ส่วนวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี 5 แห่งที่ไปรวมกับสถาบันการอาชีวศึกษา 19 สถาบันก่อนหน้านี้ตามนโยบาย นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ก็จะให้ออกมารวมกับสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตร 4 สถาบันที่จะจัดตั้งด้วย ทั้งนี้ หากเป็นไปตามแผนคาดว่าการจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรน่าจะเรียบร้อยได้ภายในกลางปี 2555 นี้ อย่างไรก็ตาม ระยะแรกหากวิทยาลัยเกษตรฯต้องการเปิดสอนระดับปริญญาตรีสามารถทำได้โดยเป็นเครือข่ายของสถาบันการอาชีวศึกษากลุ่มจังหวัดไปก่อนได้” ประธานบอร์ด กอศ.กล่าว
      
       ด้าน นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการ กอศ.กล่าวว่า โดยหลักการจะต้องมีการแยกจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตร 4 ภูมิภาค โดยต้องเริ่มตั้งแต่การประเมินความพร้อมตามหลักเกณฑ์ก่อน ซึ่ง ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.ศึกษาธิการ ก็ไม่ขัดข้องหลังจากได้มีการอธิบายเหตุผลและความจำเป็นให้ทราบแล้ว ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ รมว.ศึกษาธิการ มีจุดยืนและจะเห็นด้วยกับเรื่องที่ดีๆ และเป็นประโยชน์กับเด็ก

วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

อัตลักษณ์ของสถานศึกษา คืออะไร จำเป็นอย่างไร
ในอดีตที่ผ่านมา เมื่อมีผู้กล่าวถึงโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย หลายท่านจะนึกถึง "ความเป็นสุภาพบุรุษของลูกวชิราวุธวิทยาลัย" เมื่อกล่าวถึงโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย จะนึกถึง "ความเป็นกุลสัตรีของลูกวัฒนาวิทยาลัย" ฯลฯ ในระยะหลัง จากการที่ทุกโรงเรียนมุ่งเน้นความเป็นเลิศทางวิชาการ หรือ จากการบริหารหลักสูตรที่เน้นเนื้อหาสาระเป็นหลัก ประกอบกับเมื่อมีระบบประกันคุณภาพภายนอก โรงเรียนส่วนใหญ่ได้หันมาพัฒนาสถานศึกษา เน้นให้ผู้เรียนมีคุณภาพตามมาตรฐานการประเมินภายนอก(ที่รับผิดชอบโดย สมศ.) โดยจากการสำรวจในเชิงปริมาณ เมื่อมีการสอบถามสถานศึกษากลุ่มที่ได้รับการรับรองมาตรฐานคุณภาพในรอบที่ 2 (2549-2553)ในระดับดี-ดีมาก ว่า "สถานศึกษาได้ทำการกำหนดมาตรฐานการประกันคุณภาพภายในของตนเอง โดยได้เพิ่มมาตรฐานพิเศษ นอกเหนือจากมาตรฐานการประกันคุณภาพภายนอกของ สมศ. หรือไม่" จากคำตอบที่ได้ พบว่า มีสถานศึกษาเพียงประมาณร้อยละ 40 เท่านั้น ที่มีการกำหนดมาตรฐานการประกันคุณภาพภายใน โดยเพิ่มมาตรฐานพิเศษ นอกเหนือไปจากมาตรฐานที่กำหนดโดย สมศ.อำนาจ จันทรขำ ,2553 ; การพัฒนารูปแบบการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ดุษฎีนิพนธ์ สาขาวิชาบริหารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์) ซึ่งในอนาคต หากโรงเรียนส่วนใหญ่ หันมาพัฒนาสถานศึกษาตามกรอบการประกันคุณภาพภายนอกของ สมศ.เพียงอย่างเดียว เช่นนี้ ก็อาจเกิดปัญหาที่ตามมา คือ คุณภาพหรือคุณสมบัติของเด็กไทยก็จะเหมือนกันทั่วประเทศ โดยมีคุณภาพขั้นต่ำตามที่ประเทศ(โดย สมศ.)เป็นผู้กำหนด คุณลักษณะเฉพาะ หรือความโดดเด่นเป็นพิเศษของบางโรงเรียนที่เคยโดดเด่นในอดีต ก็อาจจะสูญหายไป อย่างน่าเสียดาย
ด้วยความกังวลใจของนักการศึกษาที่เห็นว่า ในอนาคต "หากโรงเรียนไม่ตระหนักในเรื่องความเป็นเลิศเฉพาะทาง หรือ ลักษณะโดดเด่นเฉพาะทางของเยาวชนที่สำเร็จการศึกษาจากสถานศึกษานั้น ๆ ความโดดเด่นใด ๆ ของนักเรียนก็จะสูญหายไป" ในการนี้ ในระยะหลัง จึงมีการกล่าวถึง "อัตลักษณ์ของสถานศึกษา" หรือ "เอกลักษณณ์ของสถานศึกษา" กันอย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น โดยมีความเห็นร่วมกันว่า "นอกจากมาตรฐานขั้นต่ำของเด็กไทย ที่เป็นมาตรฐานแกนกลางเหมือนกันทั่วประเทศ" แล้ว สถานศึกษาแต่ละแห่งหรือแต่ละกลุ่ม ควรมีการพัฒนาคุณสมบัติของนักเรียนที่มีลักษณะเฉพาะเป็นของตนเอง เป็นอัตลักษณ์ของสถานศึกษาแห่งนั้น ๆ หรือกลุ่มโรงเรียนกลุ่มนั้น ๆ

"อัตลักษณ์ของสถานศึกษา" ควรเน้นไปที่การกำหนดภาพความสำเร็จ(Image of Success)ที่ต้องการให้เกิดกับผู้เรียน หรือเป็นลักษณะหรือคุณสมบัติโดดเด่นของนักเรียนที่สำเร็จการศึกษาจากสถานศึกษาแห่งนั้น ตัวอย่างเช่น โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย กำหนดว่าอัตลักษณ์ของลูกสวนกุหลาบ คือ "มีภาวะผู้นำและสุภาพบุรุษ" โรงเรียนสตรีวิทยา กำหนดคุณสมบัติ "ยอดนารี สตรีวิทยา"(โดยมีการอธิบายอย่างชัดเจนว่า มีคุลักษณะที่สำคัญ ๆ อย่างไรบ้าง) เป็นต้น

ในการทำหน้าที่วิทยากรเสริมความรู้ในเรื่องการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษา ในระยะที่ผ่านมา โดยเฉพาะในปี 2553 ผมได้พยายามเน้นและเสนอแนะให้สถานศึกษา กำหนดคุณสมบัติหรือลักษณะเฉพาะหรือลักษณะโดดเด่นของลูกศิษย์ของตน ให้ชัดเจน เช่น เสนอว่า
-โรงเรียนในเครือไทยรัฐวิทยา อาจเน้นคุณสมบัติ "ประชาธิปไตย ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง และกล้าต่อสู้ในสิ่งที่ถูกต้อง"(วิเคราะห์จากคุณสมบัติของผู้สื่อข่าว)
-โรงเรียนในจังหวัดนนทบุรี เน้น "จิตสำนึกรักเมืองนนท์ รักษ์สิ่งแวดล้อม"(เพื่อให้นนทบุรีเป็นเมืองน่าอยู่ชั้นดี)
-โรงเรียนในเครือ "เบญจมะฯ" เช่น เบญจมราชูทิศ เบญจมราชาลัย เบญจมราชานุสรณ์ เบญจมเทพอุทิศ ฯลฯ อาจเน้น "ประชาธิไตย เคารในสิทธิความเป็นมนุษย์"(ร.5 ทรงให้ความสำคัญกับศักด์ศรีความเป็นมนุษย์ จึงทรงประกาศให้มีการเลิกทาส)
-โรงเรียนในเครือ "จุฬาภาณ์" เน้น "บุคลิกนักวิทยาศาสตร์"

โดยสรุป อัตลักษณ์ คือ ลักษณะเฉพาะที่เป็นตัวตนของสถานศึกษา หรือกลุ่มสถานศึกษา ที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ในการจัดตั้งสถานศึกษา หรือลักษณะโดดเด่นของสถานศึกษา โดยควรเน้นที่ การกำหนดภาพความสำเร็จในตัวผู้เรียน(อาจเป็นคุณลักษณะ หรือสมรรถนะ) ในการกำหนดอัตลักษณ์ สถานศึกษาควรทำการวิเคราะห์ความเป็นมาของสถานศึกษา เจตนารมณ์ในการจัดตั้ง หรือบริบทของสถานศึกษา แล้วกำหนดอัตลักษณ์หรือคุณสมบัติเฉพาะที่ผู้สำเร็จการศึกษาจะต้องมีก่อนสำเร็จการศึกษา ทั้งนี้ ควรมีการประชาพิจารณ์ให้เห็นพ้องร่วมกันระหว่างผู้เกี่ยวข้องกลุ่มต่าง ๆ รวมทั้งจะต้องมีกิจกรรมการส่งเสริมหรือพัฒนาที่เป็นรูปธรรม และ มีการประเมินหรือตรวจสอบอย่างเป็นระบบ ว่า ผู้เรียนหรือผู้สำเร็จการศึกษา ได้มีคุณสมบัติหรือผ่านเกณฑ์แล้ว หรือไม่
อัตลักษณ์ เอกลักษณ์กับการประเมินคุณภาพภายนอกรอบสาม




สมศ. ได้ประกาศเกณฑ์การประเมินคุณภาพภายนอกรอบสาม(พ.ศ.๒๕๕๔-๒๕๕๘)ซึ่งประกอบด้วยตัวบ่งชี้พื้นฐาน ตัวบ่งชี้อัตลักษณ์ ตัวบ่งชี้มาตรการส่งเสริม เพื่อให้สถานศึกษามีความเข้าใจความหมายและการเก็บรวบรวมข้อมูลและเตรียมความพร้อมด้านข้อมูลเพื่อรองรับการประเมินคุณภาพภายนอกรอบสามดังนั้น จึงขอให้ความเข้าใจเพิ่มเติมในเรื่องดังกล่าว ดังนี้

อัตลักษณ์   (
Identity)  
หมายถึง ผลที่เกิดขึ้นกับ ผู้เรียนตามปรัชญา ปณิธานวิสัยทัศน์ พันธกิจ และวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งสถานศึกษาที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสถานศึกษาและหน่วยงานต้นสังกัด อัตลักษณ์ เป็นตัวบ่งชี้ที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการประเมินในสองรอบที่ผ่านมาที่ได้มีการตรวจสอบปรัชญาปณิธาน วิสัยทัศน์ พันธกิจของสถานศึกษา ว่ามีการกำหนดไว้หรือไม่เท่านั้น ซึ่งในทางปฏิบัติทุกสถานศึกษาจะต้องกำหนดไว้ตั้งแต่เมื่อก่อตั้งสถานศึกษา ส่วนการประเมินภายนอกรอบสามจะประเมินผลว่าตัวผู้เรียนว่ามีคุณลักษณะเป็นไปตามสาระที่กำหนดไว้ในปรัชญา ปณิธาน วิสัยทัศน์ พันธกิจหรือไม่ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าสถานศึกษากำหนดปรัชญาไว้ว่า "ความรู้คู่คุณธรรม" นักเรียนหรือบัณฑิตที่จบมาต้องมีความรู้ เป็นคนดีมีจิตสาธารณะ หรือสถานศึกษาด้านการอาชีวศึกษากำหนดปรัชญาไว้ว่า "อดทน มุ่งมั่น สู้งาน" แล้วผู้เรียนที่สำเร็จการศึกษาแล้วมีลักษณะอดทนตั้งใจ มุ่งมั่น และสู้งาน ก็ถือว่าบรรลุอัตลักษณ์โดยจะนำผลมาพิจารณาตามหลักเกณฑ์การให้คะแนนของแต่ละระดับการศึกษาต่อไป ในการเก็บข้อมูลเรื่องอัตลักษณ์นั้น
สถานศึกษาจะต้องกำหนดเกณฑ์ขึ้นมา เพื่อใช้ประเมินผลความเป็นอัตลักษณ์ของสถานศึกษาโดยอาจจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นจากประชาคมภายในสถานศึกษา หรือทำแบบสำรวจความคิดเห็นจากบุคลากรภายใน ต่อคุณลักษณะของผู้เรียนที่สะท้อนปรัชญา ปณิธานวิสัยทัศน์ พันธกิจที่กำหนดหรือไม่ และให้ระดับคะแนนตามระดับผลกระทบที่ดีต่อชุมชนท้องถิ่น และระดับการยอมรับจากชุมชนหรือหน่วยงานภายนอก ผลที่ได้จากการดำเนินการจะส่งผลดีให้สถานศึกษาได้ทบทวน พิจารณาและดำเนินการต่อไปอย่างมีเป้าหมายชัดเจน สำหรับระดับอุดมศึกษาสถาบันและคณะจะต้องกำหนดอัตลักษณ์เป็นเรื่องเดียวกัน ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า"หนึ่งสถานศึกษา หนึ่งอัตลักษณ์"

ส่วน 
เอกลักษณ์ (
Uniqueness)



หมายถึง ความสำเร็จตามจุดเน้นและจุดเด่นที่สะท้อนให้เห็นเป็นลักษณะโดดเด่นเป็นหนึ่งของสถานศึกษาหรือความสำเร็จของสถาบัน ดังนั้น อัตลักษณ์และเอกลักษณ์ จึงไม่เหมือนกัน แต่สำหรับระดับอุดมศึกษาเอกลักษณ์ กับอัตลักษณ์ของสถาบันกับคณะ จะเหมือนกันหรือต่างกัน หรือส่งผลถึงกันก็ได้ ยกตัวอย่าง เอกลักษณ์ของคณะต่างๆในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เช่น วิศวกรรมศาสตร์ ครุศาสตร์สถาปัตยกรรมศาสตร์ อักษรศาสตร์จะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันแต่เอกลักษณ์ในภาพรวมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะต้องเหมือนกัน

กล่าวได้ว่า ทั้งอัตลักษณ์ และเอกลักษณ์ ถือเป็นตัวช่วยในการประเมินรอบสามนี้ และเปิดโอกาสให้สถานศึกษาได้ชูจุดเด่นหรือจุดต่างของสถานศึกษาให้คนทั่วไปได้รับทราบและรู้จักตัวตนของสถานศึกษามากขึ้น


ท่านสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง

www.facebook.com/pageonesqa

สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน)

ชั้น 24 อาคารพญาไทพลาซ่า เลขที่ 128 ถนนพญาไท 

แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400 โทรศัพท์ 0-2216-3955โทรสาร 0-2216-5044-6 

http://www.onesqa.or.th 

ที่มา:

หนังสือพิมพ์สยามรัฐ